เชิญติดตามซีรี่ส์ "เรื่องดี ๆ จากดร.ณัชร" ได้ในเพจใหม่
www.doctor-nash.com นะคะ
วันนี้มีเรื่องใหม่ขึ้นแล้วค่ะ เชิญติดตามได้นะคะ ^_^
Dr. Nash's Good Stories
เพจรวมเรื่องดี ๆ และสร้างแรงบันดาลใจ เพื่อความสุขและความสำเร็จที่ยั่งยืน
Wednesday, March 23, 2016
Thursday, March 17, 2016
8 วิธีคลายเครียดจากการทำงาน
ซีรี่ส์ “เรื่องดี ๆ จาก ดร.ณัชร” เรื่องที่ 98
นิตยสารไทม์ฉบับวันที่ 14 มี.ค.
นี้มีบทความโดย Mandy Oaklander ที่พูดถึงวิธีเพิ่มความอยู่เย็นเป็นสุข (well-being) ในที่ทำงาน
โดยยกตัวเลขที่น่าตกใจมาประกอบว่า ผลสำรวจล่าสุดพบว่าสหรัฐอเมริกาต้องเสียเงินถึงปีละห้าแสนห้าหมื่นล้านเหรียญ
(19.8 ล้านล้านบาท) ต่อปีไปกับผลเสียของสภาวะที่เรียกว่า “disengagement at work” ซึ่งหมายถึงการที่คนทำงานทำไปอย่างซังกะตาย
ไม่ทุ่มเท ไม่มีความสุขกับงาน และอาจต้องออกจากงานไปในที่สุด
นอกจากนี้ยังต้องเสียเงินอีกถึงปีละสามแสนล้านเหรียญ
(10.8 ล้านล้านบาท) ไปกับการบำบัดอาการเครียดที่เกิดจากการทำงานด้วย
ในบทความยกตัวอย่างวิธีลดความเครียดในที่ทำงานที่ได้ผลวิจัยยืนยันว่าได้ผลดีมา
8 วิธีดังนี้
1) สละเวลาสัก 5 นาทีให้ความช่วยเหลือผู้อื่น
โดยอาจจะเอากาแฟไปให้เพื่อนร่วมงานที่ดูจะกำลังต้องการกาแฟแต่ไม่มีเวลาเดินไปชงเองก็ได้ งานวิจัยพบว่าการลงมืออาสาทำอะไรให้ใครนั้นช่วยทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันดีขึ้น ซึ่งช่วยให้ “ผู้ให้” ฟื้นตัวจากความเครียดได้
ข้อนี้ชาวพุทธอย่างเรา ๆ
คงไม่รู้สึกแปลกใจอะไรใช่ไหมคะ เพราะโดยมากเวลาเราทำจิตอาสา
ทำบุญทำทานอะไร
เราก็รับรู้ถึงความสุขได้ทันทีอยู่แล้ว
2) เล่นกับสุนัข
ลองขอเจ้านายนำสุนัขที่บ้านไปทำงานด้วยดูถ้าที่ทำงานของคุณเอื้อต่อการมีสุนัขเดินไปมา งานวิจัยพบว่าพนักงานที่นำสุนัขไปที่ทำงานด้วยมีความเครียดน้อยลงมากและในขณะเดียวกันก็ยังสามารถทำงานได้มากเท่าวันที่ไม่ได้นำสุนัขไปด้วย
ดูเหมือนข้อนี้ที่ญี่ปุ่นก็ทำกันหลายบริษัท แต่รู้สึกจะเป็นแมวมากกว่า
3) ซ่อนมือถือของคุณซะ!
งานวิจัยพบว่าถึงแม้คุณจะไม่ได้ใช้มัน
แต่เพียงแค่เห็นมันอยู่ในสายตาก็จะทำให้ความสามารถในการมีสมาธิจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้าลดลงแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นงานวิจัยอีกชิ้นยังพบว่า
เมื่อต้องพบปะกับใคร เพียงการมีมือถืออยู่ในที่ที่มองเห็นได้ก็สามารถทำให้เกิดการไว้วางใจอีกฝ่ายน้อยลงและรู้สึกชอบอีกฝ่ายน้อยลงด้วย
4) พักสักครู่ในช่วงเช้า ไม่ใช่ช่วงบ่าย
ผลงานวิจัยของปีนี้พบว่า ผู้ที่พักสักครู่ในช่วงเช้านั้นจะมีความรู้สึกเหนื่อยใจน้อยกว่าและมีความรู้สึกพึงพอใจกับงานมากกว่าผู้ที่เลือกพักช่วงบ่าย ข้อนี้สำหรับคนไทยคงไม่มีปัญหาเพราะส่วนใหญ่เราคงจะพักกันทั้งเช้าและบ่ายใช่ไหมคะ
(^_^)
5) เมื่อได้รับมอบหมายงานมา อย่าเพิ่งทำทันที
ข้อนี้อาจจะฟังดูแปลก ๆ
แต่งานวิจัยหนึ่งพบว่า
ผู้ที่เริ่มลงมือทำงานที่ได้รับมอบหมายมาทันทีจะมีความคิดสร้างสรรค์ในงานชิ้นนั้นน้อยกว่ากลุ่มที่แว่บไปทำอย่างอื่นก่อนสัก
5 นาที นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่า ลึก ๆ
ลงไปแล้วช่วงที่แว่บไปทำอย่างอื่นก่อนนั้นสมองน่าจะพยายามหาทางจัดการงานเหล่านั้นด้วยวิธีต่าง
ๆ กันโดยเราไม่รู้ตัว
ดังนั้นพอลงมือทำจริง ๆ อาจจะคิดวิธีทำได้สร้างสรรค์มากกว่า
6)
ออกไปเดินจงกรมหรือทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับงานสัก 10 นาที
นักวิจัยจาก Wharton ซึ่งเป็นบัณฑิตวิทยาลัยด้านการบริหารธุรกิจระดับแนวหน้าของอเมริกาได้แนะนำว่า
กิจกรรมข้อนี้สำคัญมากถึงขนาดที่คุณต้องจดลงไปในปฎิทินนัดหมายงานและต้องทำให้ได้ด้วย นอกจากการออกไปเดินจงกรม (walking
meditation) แล้ว
นักวิจัยบอกว่าคุณจะทำอย่างอื่นก็ได้ เช่น การฟัง podcast
หรือคุยอะไรกับเพื่อนก็ได้ทุกเรื่องยกเว้นเรื่องงาน
ข้อนี้ผู้เขียนอดนึกไม่ได้ว่า ในประเทศไทยเรายังไม่ค่อยได้ยินว่าพนักงานขอพักสัก
10 นาทีออกไปเดินจงกรมกันเลย
ถ้าคุณผู้อ่านเคยทำก็ช่วยแชร์ประสบการณ์ให้ผู้เขียนฟังหน่อยนะคะ
7)
เม้าท์กับเพื่อนร่วมงาน
การพูดจาสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานนั้นช่วยคลายเครียดได้มากแม้แต่กับผู้ที่มีแนวโน้มชอบเก็บตัวอยู่คนเดียวเงียบ
ๆ แต่ถ้าจะให้คลายเครียดจริง ๆ
นั้นนักวิจัยระบุว่าต้องคุยกันเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เรื่องงาน
8)
ทำงานจบวันแล้วก็คือจบ
ผลวิจัยปีนี้พบว่า
พนักงานที่คิดว่าพวกเขาต้องทำตัวให้ติดต่อเรื่องงานได้ตลอดเวลาหลังจบเวลาทำงานนั้นจะมีฮอร์โมนความเครียด
คือ คอร์ติซอล สูงกว่า
ดังนั้นจบวันแล้วก็จงอย่าเช็คอีเมล์เรื่องงาน แต่จงพักผ่อนในแบบที่คุณเลือก
หวังว่า 8 วิธีนี้คงพอจะเป็นประโยชน์และช่วยให้คุณผู้อ่านคลายเครียดจากการทำงานลงได้บ้าง
อย่างไรก็ตามผู้เขียนอ่านจบแล้วรู้สึกว่า ทั้งหมดนี้เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ทำไมเราไม่ลองคิดหาวิธีแก้ปัญหาที่ต้นเหตุแทนกันล่ะ คือ ทำความเข้าใจว่าทำไมเราจึงเครียดเวลาทำงานหรือรู้สึกซังกะตาย และความจริงเรามีทางแก้ปัญหาที่ต้นเหตุด้วยวิถีพุทธเสียด้วย
มาคุยเรื่องนี้ต่อในตอนหน้ากัน
-------------------------------------------------------------------
เชิญสนับสนุนหนังสือ
“ออกกำลังใจ” ของดร.ณัชรได้ที่นี่ https://goo.gl/2gdIch
-------------------------------------------------------------------
ต้องการสั่งซื้อหนังสือธรรมะภาษาอังกฤษ
“Zenwise
(มองอย่างเซน)” คลิกที่นี่
http://goo.gl/forms/OxlEn9xb0R
------------------------------------------------------------------
สนใจฝึกเจริญสติคลิกที่นี่ http://goo.gl/ALKOvv
-------------------------------------------------------------------
เพจ “ดร.ณัชร”
เกิดขึ้นด้วยความตั้งใจที่จะทำความดีถวายในหลวง
และเพื่อเทิดพระเกียรติพระอัจฉริยภาพในด้านต่าง ๆ ในการสร้างความสุขและความสำเร็จที่ยั่งยืนให้แก่ประชาชนชาวไทย
--------------------------------------------------------------------
เพื่อไม่ให้พลาดโพสต์ดี
ๆ จากทางเพจ
1. ใส่อีเมล์ของท่านในช่อง “Follow by
Email รับการแจ้งโพสต์ใหม่ในอีเมล์ของคุณ” ในช่องท้ายบทความและกด
“submit” (ต้องทำผ่านจอคอมพิวเตอร์)
2. สำหรับ Facebook กรุณากด Get Notification (“รับการแจ้งเตือน”)
ใต้ปุ่ม Like (“ถูกใจ”) ที่หน้าเพจ
“ดร ณัชร” ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์
3. Add LINE ID @dr.nash (ต้องมีเครื่องหมาย @ นำหน้าคำว่า dr.nash)
-------------------------------------------------------------------
ภาพประกอบโดย ดร.ณัชร สยามวาลา
ภาพประกอบโดย ดร.ณัชร สยามวาลา
Labels:
EQ,
ความสำเร็จ,
ความสุข,
คำแนะนำ,
พัฒนาตนเอง,
เรียนรู้
Wednesday, March 9, 2016
Beyond Love
ซีรี่ส์ “เรื่องดี ๆ จาก ดร.ณัชร” เรื่องที่ 97
คำถาม: ดิฉันเพิ่งสูญเสียคุณแม่ค่ะ รู้สึกทุกข์เพราะคิดถึงท่านมาก ๆ แต่ละวันต้องคอยต่อสู้กับความคิดถึง อยากหาทางออกจากความรู้สึกนี้ ทำอย่างไรดีคะ? -- น., อายุ 39 ปี
คำตอบ: ก่อนอื่นผู้เขียนขอแสดงความเสียใจกับคุณอย่างที่สุดสำหรับการสูญเสียคุณแม่มา ณ ที่นี้ ไม่ว่าใครก็คงจะรู้สึกทุกข์อย่างคุณ แต่ความโศกเศร้าไม่รู้จบนั้นไม่เป็นผลดีต่อคุณแน่นอน เรามาดูกันว่าเราทำอะไรได้บ้าง
ทำไมการสูญเสียแม่จึงเจ็บปวดนัก
ความสูญเสียของคุณครั้งนี้ต้องเจ็บปวดกว่าการสูญเสียใด
ๆ ที่เคยมีอย่างแน่นอน คุณเองอาจจะประหลาดใจด้วยซ้ำว่าทำไมความเจ็บปวดนี้ถึงบาดลึกราวกับ
“จับต้องได้”
ที่เป็นเช่นนี้เพราะวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าในระบบร่างกายของมารดาทุกคนยังมี “เซลล์ของลูก” หลงเหลืออยู่ เซลล์ของลูกนี้อาจหมุนวนไปยังอวัยวะส่วนใดก็ได้ในร่างกายผ่านระบบเลือด เซลล์มีการแตกตัวและยังคงอยู่ในร่างกายของผู้เป็นแม่แม้เวลาจะผ่านไปหลายสิบปีจนถึงวันที่แม่จากไป!
นี่อาจเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคุณถึงรู้สึกเศร้าอย่างมากจนไม่เป็นอันกินไม่เป็นอันนอน เพราะว่าคุณได้ “สูญเสียส่วนหนึ่งของตัวคุณ” (เซลล์ของคุณที่ยังหลงเหลืออยู่ในตัวคุณแม่) ไปจริง ๆ พร้อม
ๆ กับการจากไปของคุณแม่นั่นเอง
พูดง่าย ๆ ว่าสาเหตุที่คุณมีความผูกพันกับคุณแม่มากกว่าคนอื่น
ๆ ก็เพราะคุณไม่ได้มีเพียงความผูกพันทางจิตใจ
แต่ยังมีความผูกพันที่หลงเหลืออยู่ทางกายภาพด้วย! (ผู้สนใจเรื่องเซลล์ของลูกที่ยังหลงเหลืออยู่ในมารดานี้สามารถค้นคว้าเพิ่มได้ในหัวข้อ
Microchimerism)
แล้วเราจะก้าวข้ามความเจ็บปวดที่ใหญ่หลวงนี้ไปได้อย่างไร?
มองในมุมของคุณแม่
ไม่เพียงแต่คุณที่รักคุณแม่ แต่คุณแม่ก็รักคุณด้วย
ลองคิดดูว่าท่านจะทุกข์ใจเพียงใดถ้ารู้ว่าคุณกำลังทุกข์แสนทุกข์เพราะคิดถึงท่าน สมมติว่าท่านกำลังเฝ้ามองคุณด้วยความห่วงใยจากที่ใดที่หนึ่ง ท่านย่อมอยากเห็นคุณมีกำลังใจที่เข้มแข็ง สามารถก้าวเดินต่อไปและดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขแน่นอน
คนเราจะทำอะไรสำเร็จต้องเริ่มจากการตั้งเป้าและเชื่อมั่นในเป้าหมายนั้น ดังนั้นก่อนอื่นให้บอกตัวเองอย่างมุ่งมั่นว่า เราจะ "ทำเพื่อแม่" และเราจะสามารถก้าวออกจากวังวันแห่งความทุกข์ใจนี้ไปได้สำเร็จ!
จากนั้นลองทำวิธีต่อไปนี้
ระลึกว่า “แม่ยังอยู่กับเรา”
ถ้าคุณคิดถึงคุณแม่
ก็พึงระลึกว่าคุณแม่ยังอยู่กับคุณในเลือดเนื้อของคุณ ในทุก ๆ เซลล์ของคุณมีดีเอ็นเอที่คุณแม่มอบให้ไว้
เลือดที่กำลังวิ่งไปหล่อเลี้ยงทั่วร่างกายของคุณ ณ
วินาทีนี้ก็คือสิ่งที่คุณแม่มอบให้
ดังนั้นคุณแม่ก็ยังอยู่กับคุณในตัวคุณนั่นเอง!
ถ้าคุณรู้สึกอย่างนี้ได้จริง ๆ เมื่อไหร่ คุณจะรู้สึกอบอุ่นขึ้นในทันทีเพราะคุณรู้แล้วว่า "คุณแม่ไม่ได้หายไปไหนสักหน่อย!" แต่ท่านยังอยู่ใกล้ชิดคุณอย่างมาก
ใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อแม่
ในเมื่อคุณแม่เป็นผู้ให้ชีวิตคุณ สิ่งที่ดีที่สุดที่คุณจะทำได้ก็คือใช้ชีวิตที่ได้รับมานี้ให้ดีที่สุดเพื่อคุณแม่ จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด
อดีตที่ผ่านไปแล้วเราไม่สามารถทำอะไรได้
ส่วนอนาคตนั้นจะเป็นอย่างไรขึ้นกับวิธีที่เราจะสร้างสรรค์มันขึ้นมาในวันนี้
แล้วเราจะทำชีวิตนี้ให้มีค่าได้อย่างไร?
ทำได้โดยอุทิศชีวิตนี้เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น จงทำตัวเป็น “ผู้ให้” กับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือหรือผู้ที่ด้อยโอกาสกว่าเรา ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งของเงินทอง
แม้แต่การให้เวลา ให้รอยยิ้ม ให้การรับฟัง ให้คำแนะนำ ให้แรงกายแบบจิตอาสาหรือแม้แต่ให้อภัย
ทุกอย่างล้วนแต่เป็นการให้ที่มีความหมายทั้งสิ้น
ความสุขจากการให้และการไม่เบียดเบียน
การให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ ทันทีที่คุณเริ่มนึกถึงผู้อื่นและมีเจตนาที่จะ "ให้" คุณก็จะมีความสุขขึ้นมาทันที เพราะ "เจตนาที่จะให้" นั้นเป็นมโนกรรมที่สัมฤทธิ์ผลทันทีที่คุณคิด
“จิตที่คิดจะให้” เป็นจิตที่เป็นกุศล
ดังนั้นจึงเป็นจิตที่มีความสุขและมีพลัง
ยิ่งคุณคิดจะให้ได้ต่อเนื่องได้มากเพียงใด
ความสุขก็จะเกิดขึ้นภายในใจคุณอย่างต่อเนื่องเหมือนลูกโซ่เพียงนั้น
เมื่อจิตคิดจะให้เกิดอย่างสม่ำเสมอ คุณก็จะก้าวขึ้นไปสู่ “การให้ความไม่เบียดเบียน” อย่างเป็นธรรมชาติ
จิตที่ไม่คิดจะเบียดเบียนไม่ว่าจะตนเองหรือผู้อื่นนั้นคือจิตที่ถึงพร้อมด้วยศีล ซึ่งนอกจากจะนำความสุขทางใจมาให้คุณทันทีแล้ว ศีลยังเป็นที่มาของโภคทรัพย์และยังเป็นจุดเริ่มต้นไปสู่ความพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิงอีกด้วย
พัฒนาชีวิตขึ้นสู่จุดสูงสุด
แต่ถ้าคุณรักคุณแม่ของคุณจริง ๆ ก็ควรหาโอกาสใช้ชีวิตที่คุณแม่ให้มานี้สร้างประโยชน์สูงสุด นั่นก็คือ พากายใจของคุณไปฝึกการเจริญสติปัฏฐาน 4 อย่างเป็นกิจจะลักษณะกับครูบาอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ
เพราะการฝึกสติปัฏฐาน 4 คือวิธีเดียวที่จะพัฒนาชีวิตนี้ไปสู่การพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง
แม้ยังไปไม่ถึงเป้าหมายสูงสุด คุณก็จะยังได้รับ “ผลพลอยได้” อีกสารพัดอย่างนับไม่ถ้วนระหว่างทาง (รายละเอียดอ่านได้ในหนังสือ “ออกกำลังใจ") ได้ทั้งประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น ได้ทั้งความสุขสงบเบาสบายภายใน ได้ทั้งปัญญาที่นำไปใช้ในการทำงานได้ ฯลฯ
แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ
คุณจะได้ใช้ชีวิตเพื่อคุณแม่อยู่ทุกลมหายใจ นั่นคือ ทุก ๆ
วินาทีที่คุณเจริญสติในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะในอิริยาบถใด ทุก ๆ ขณะนั้นคือการสร้างกุศลที่คุณสามารถอุทิศให้คุณแม่ของคุณได้!
Beyond
Love
สุดท้ายนี้ผู้เขียนขอให้กำลังใจคุณน.อีกครั้ง ผู้เขียนเชื่อมั่นว่าด้วยความรักแม่ของคุณ คุณจะต้องทำได้และก้าวข้ามช่วงเวลาแห่งความทุกข์นี้ไปได้อย่างสวยงาม
ทันทีที่คุณค้นพบความสงบสุขภายในจนถึงขั้นยิ้มออกมาได้ คุณแม่ก็จะยิ้มกับคุณไปด้วย
และนั่นคือสิ่งที่คุณอยากจะมอบให้คุณแม่มากที่สุดในตอนนี้มิใช่หรือ?
-------------------------------------------------------------------
ต้องการสั่งซื้อหนังสือธรรมะภาษาอังกฤษ
“Zenwise” ของดร.ณัชร และหลวงพ่อสุมโน คลิกที่นี่ http://goo.gl/forms/OxlEn9xb0R
------------------------------------------------------------------
สนใจฝึกเจริญสติคลิกที่นี่ http://goo.gl/ALKOvv
-------------------------------------------------------------------
เพจ “ดร.ณัชร”
เกิดขึ้นด้วยความตั้งใจที่จะทำความดีถวายในหลวง
และเพื่อเทิดพระเกียรติพระอัจฉริยภาพในด้านต่าง ๆ
ในการสร้างความสุขและความสำเร็จที่ยั่งยืนให้แก่ประชาชนชาวไทย
--------------------------------------------------------------------
เพื่อไม่ให้พลาดโพสต์ดี
ๆ จากทางเพจ
1. ใส่อีเมล์ของท่านในช่อง “Follow by
Email รับการแจ้งโพสต์ใหม่ในอีเมล์ของคุณ” ในช่องท้ายบทความและกด
“submit” (ต้องทำผ่านจอคอมพิวเตอร์)
2. สำหรับ Facebook กรุณากด Get Notification (“รับการแจ้งเตือน”)
ใต้ปุ่ม Like (“ถูกใจ”) ที่หน้าเพจ
“ดร ณัชร” ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์
3. Add LINE ID @dr.nash (ต้องมีเครื่องหมาย @ นำหน้าคำว่า dr.nash)
-------------------------------------------------------------------
Credit ภาพ peddybear2
Credit ภาพ peddybear2
Labels:
ความดี,
ความสุข,
คำแนะนำ,
ธรรมะ,
พระพุทธศาสนา,
แม่,
วิทยาศาสตร์,
สติ,
โอกาส
Thursday, March 3, 2016
วิกฤติจรรยาบรรณไทย เรียนรู้ได้จากสามก๊ก
ซีรี่ส์ “เรื่องดี
ๆ จากดร.ณัชร” เรื่องที่ 96
ศีลธรรม วรรณกรรม และสังคมไทย
เร็ว ๆ นี้สังคมไทยมีข่าวหนึ่งที่คนพูดถึงกันมาก เพราะมีบุคคลสาธารณะผู้หนึ่งทำผิดกฎหมาย
ทำผิดจรรยาบรรณ และทำผิดศีลอย่างน้อย 2 ข้อ คือข้อ 2 (ฉ้อโกง) และข้อ 4
(ปกปิดความจริง กล่าวเท็จ)
แต่กระนั้นต้นสังกัดของบุคคลผู้นั้นก็ยังให้การสนับสนุนเขาอยู่
ผู้เขียนเห็นแล้วก็อดนึกไม่ได้ถึงเรื่องราวของบุคคลหนึ่งในวรรณกรรมสามก๊ก คือ ลิโป้
เรื่องของลิโป้
ลิโป้มีกำเนิดเป็นชนกลุ่มน้อย ไม่ใช่ชาวฮั่น
จึงใช้แต่กำลังสร้างอำนาจ
อาศัยความเป็นนักรบที่เก่งกาจไต่เต้าขึ้นมา
แรกเริ่มลิโป้เป็นลูกบุญธรรมของเต๊งหงวน
แต่ตั๋งโต๊ะเห็นความสามารถในตัวลิโป้ก็อยากได้มาอยู่กับตน จึงใช้ของมีค่ามาล่อใจเป็นอามิสสินจ้าง จนในที่สุดลิโป้ผู้เห็นแก่ทรัพย์ก็ลงมือฆ่าเต๊งหงวนพ่อบุญธรรมของตนและกลายมาเป็นลูกบุญธรรมของตั๋งโต๊ะแทน
ต่อมาอ้องอุ้นทนดูความหยาบช้าของตั๋งโต๊ะไม่ได้จึงคิดอุบายวางแผนให้ลิโป้แตกคอกับตั๋งโต๊ะโดยใช้ลูกสาวบุญธรรมของตนคือเตียวเสี้ยนเป็นเครื่องมือ สุดท้ายลิโป้ก็สังหารตั๋งโต๊ะผู้เป็นพ่อบุญธรรมคนที่สองของตนไปอีกคน!
เก่งแต่โกง
ถึงจะมีความสามารถในการรบจนได้ชื่อว่าเป็นยอดขุนพลและนำชัยชนะมาให้ผู้บังคับบัญชาของตนมากเพียงใด ลิโป้ก็ยังมีนิสัยตระบัดสัตย์ไม่สำนึกบุญคุณคนอยู่เสมอ
แม้ในช่วงที่ตนลำบากและได้รับความช่วยเหลือจากเล่าปี่ เดิมก็รับปากจะรับใช้เล่าปี่อย่างดี แต่ในที่สุดลิโป้ก็อาศัยช่วงเวลาที่เล่าปี่ยกกองทัพไปต่างเมืองเข้ายึดเมืองซีจิ๋วของเล่าปี่ไป
จุดจบคนไร้คุณธรรม
ในที่สุดลิโป้ก็ถูกกองทัพของโจโฉและเล่าปี่จับตัวได้ เมื่อพิจารณาโทษของลิโป้แล้ว โจโฉผู้ชอบชุบเลี้ยงคนมีฝีมือก็ยังเสียดายความสามารถของลิโป้อยู่ แต่เล่าปี่ให้ข้อคิดแก่โจโฉว่าลิโป้เป็นคนเนรคุณ
กล้าฆ่าได้แม้แต่ผู้มีพระคุณต่อตนเองถึงสองคน หากไว้ชีวิตจะเสียใจในภายหลังอย่างแน่นอน
ในที่สุด ยอดขุนพลลิโป้ที่มีพละกำลังมากมาย ฝีมือยอดเยี่ยม ก็ถูกประหารชีวิตเพราะความไร้คุณธรรมของตนที่เคยก่อเอาไว้กับผู้อื่น
เรื่องของลิโป้สอนอะไรบ้าง
1) แม้จะเป็นคนเก่งกล้าสามารถเพียงใด หากไร้ซึ่งคุณธรรมแล้ว
ในที่สุดก็จะต้องได้รับกรรม อีกทั้งจะไม่เป็นที่จดจำในความเก่ง แต่จะเป็นที่จดจำในฐานะคนไร้คุณธรรม ชื่อสกุลของตนก็จะยังถูกประณามแม้เวลาจะผ่านไปเป็นพัน
ๆ ปี
2) ถ้าเราเป็นผู้บังคับบัญชา
เป็นต้นสังกัดใคร
จงอย่าชุบเลี้ยงบุคคลที่ไร้คุณธรรม
เพราะในที่สุดแล้วเราก็จะเป็นฝ่ายเสียหายเสียเอง
3) พระพุทธพจน์ในจูฬราหุโลวาทสูตรนั้นเป็นจริงอย่างที่สุด พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า “ดูกรราหุล
เรากล่าวว่าบุคคลผู้ไม่มีความละอายในการกล่าวมุสาทั้งที่รู้อยู่
ที่จะไม่ทำบาปกรรมแม้น้อยหนึ่งไม่มี” ซึ่งขยายความได้ว่า “ผู้ที่ไม่ซื่อสัตย์นั้น ย่อมทำความชั่วอื่น ๆ
ได้อย่างง่ายดาย”
ท่านพุทธทาสผู้หยั่งรู้อนาคต
ท่านพุทธทาสเคยกล่าวเตือนอยู่เสมอว่า “ถ้าศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะวินาศ”
เวลาผ่านไปหลายสิบปีหลังจากที่ท่านพุทธทาสเคยเตือนเอาไว้ ศีลธรรมของโลกก็เสื่อมลงไปเรื่อย ๆ
เราจะเปลี่ยนวิกฤตินี้ให้เป็นโอกาสได้อย่างไร? เราทำได้โดยการน้อมเข้ามาเตือนใจตนเองให้เร่งความเพียรในการเจริญสติ เจริญวิปัสสนาภาวนา เพื่อที่จะเข้าถึงความหลุดพ้นอย่างสิ้นเชิง จะได้ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังคมที่ศีลธรรมเสื่อมลงเรื่อย
ๆ อีกต่อไป
อีกทั้งเราสามารถใช้เวลาที่เหลือในสังสารวัฏมีชีวิตอยู่อย่างผู้ที่ซื่อสัตย์
มีคุณธรรม สร้างวีรกรรมที่โลกพึงยกย่องและจดจำไว้แต่ในแง่ดีตราบนานเท่านาน
-----------------------------------------------------------------
เรื่องราวของลิโป้สรุปมาจาก สามก๊กฉบับการ์ตูน เล่ม 6 โดย Hwang Sok-Yong แปลโดย เกวลิน สีม่วง
-------------------------------------------------------------------
เชิญสนับสนุนหนังสือ
“ออกกำลังใจ” ของดร.ณัชรได้ที่นี่ http://goo.gl/V2NIMn
-------------------------------------------------------------------
------------------------------------------------------------------
สนใจฝึกเจริญสติคลิกที่นี่ http://goo.gl/ALKOvv
-------------------------------------------------------------------
เพื่อไม่ให้พลาดโพสต์ดี
ๆ จากทางเพจ
1. ใส่อีเมล์ของท่านในช่อง “Follow by
Email รับการแจ้งโพสต์ใหม่ในอีเมล์ของคุณ” ในช่องท้ายบทความและกด
“submit” (ต้องทำผ่านจอคอมพิวเตอร์)
2. สำหรับ Facebook กรุณากด Get Notification (“รับการแจ้งเตือน”)
ใต้ปุ่ม Like (“ถูกใจ”) ที่หน้าเพจ
“ดร ณัชร” ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์
3. Add LINE ID @dr.nash (ต้องมีเครื่องหมาย @ นำหน้าคำว่า dr.nash)
-------------------------------------------------------------------
Credit ภาพ premchaiword
Credit ภาพ premchaiword
Labels:
ความดี,
คำแนะนำ,
จีน,
ธรรมะ,
พระพุทธศาสนา,
พัฒนาตนเอง,
เรียนรู้,
โอกาส
Monday, February 29, 2016
มหัศจรรย์แห่งการไหว้
ซีรี่ส์ “เรื่องดี
ๆ จากดร.ณัชร” เรื่องที่ 95
สัปดาห์ที่แล้วก่อนเดินทางไปเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมที่มูลนิธิศูนย์วิปัสสนาเชียงใหม่ ผู้เขียนได้มีประสบการณ์ที่น่าประทับใจที่สนามบินสุวรรณภูมิ
เนื่องจากเวลาที่ไฟล์ทจะถึงเชียงใหม่นั้นใกล้เคียงกับเวลาเริ่มการอบรมมาก ผู้เขียนจึงตัดสินใจใส่ชุดขาวสำหรับปฏิบัติธรรมไปจากบ้านเสียเลยเพื่อประหยัดเวลาเปิดกระเป๋าเปลี่ยนชุดเมื่อไปถึงศูนย์วิปัสสนา
เมื่อเดินเข้าไปเช็คอินกระเป๋า ผู้เขียนก็ยกมือไหว้เจ้าหน้าที่กราวนด์ของการบินไทยพร้อมกับสบตาและยิ้มให้อย่างจริงใจ เธอรีบรับไหว้พร้อมรอยยิ้มกว้าง ดูออกจะแปลกใจเล็กน้อยที่ผู้โดยสารชิงไหว้เธอก่อน
เมื่อเห็นผู้เขียนใส่ชุดขาว
แถมยังโหลดเบาะนั่งสมาธิขึ้นเครื่องไปพร้อมกระเป๋าด้วย เธอก็ถามอย่างเกรงใจว่า “ขอถามหน่อยค่ะ การแผ่เมตตานี้จำเป็นต้องทำตอนหลับตานั่งสมาธิหรือเปล่าคะ?”
ผู้เขียนยิ้มให้เธออีกครั้งแล้วบอกว่า
“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ
จะแผ่ในอิริยาบถใดก็ได้
ลืมตาก็ได้
แต่แน่นอนว่าถ้ามีโอกาสนั่งสมาธิหรือทำบุญกุศลทำคุณงามความดีใด ๆ
ก่อนการแผ่เมตตาก็จะยิ่งส่งผลดี
เพราะคุณสามารถอุทิศบุญกุศลให้ผู้นั้นได้อีกด้วย”
เธอตั้งใจฟังด้วยสีหน้าที่ผู้เขียนรู้สึกว่า
เธอคงมีเรื่องกังวลใจอะไรสักอย่างแล้วอยากจะแผ่เมตตาให้กับใครสักคนอย่างมาก
ไม่เช่นนั้นคงไม่กล้าถามคนแปลกหน้าในชุดขาวคนหนึ่งเป็นแน่ ดังนั้นผู้เขียนจึงตัดสินใจว่าจะให้กำลังใจเธอ
“การทำกุศลนั้นไม่จำเป็นต้องทำทานด้วยเงินทองเสมอไปด้วยนะคะ เพียงแค่การให้รอยยิ้ม ให้เวลา ให้คำแนะนำ
หรือให้ความช่วยเหลือคนอย่างจริงใจนั้นก็นับเป็นการให้ เป็นสิ่งที่ดีงาม
และเป็นกุศลในตัวอยู่แล้ว”
“จะว่าไปแล้วงานที่คุณทำนี้ก็เป็นการทำคุณงามความดีอย่างหนึ่งนะคะเพราะคุณได้ช่วยเหลือคนช่วยอำนวยความสะดวกให้คนอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้นคุณจึงสามารถทำงานไปแผ่เมตตาให้ผู้โดยสารไปด้วยก็ยังได้ค่ะ”
“เช่น
คุณอาจจะส่งความปรารถนาดีจากใจไปให้เขา พร้อมกับนึกในใจว่า ขอให้ท่านผู้โดยสารท่านนี้จงเป็นสุข ๆ
เถิด ขอให้คุณเดินทางด้วยความปลอดภัย อย่างนี้ก็ได้ค่ะ”
เมื่อเห็นว่าเธอยังตั้งใจฟังอยู่อย่างตาโตด้วยความสนอกสนใจ ผู้เขียนจึงให้กำลังใจปิดท้ายว่า
“งานของคุณนี้ดีจังนะคะ
ได้ทำบุญทำกุศลด้วยการช่วยเหลือคนอยู่ตลอดเวลา
ขออนุโมทนาด้วยค่ะ”
แล้วก็ยกมือไหว้อนุโมทนาเธออย่างจริงใจพร้อมรอยยิ้มอีกทีก่อนจะหยิบ boarding pass ขึ้นมาเตรียมเดินกลับออกไป
เจ้าหน้าที่ท่านนั้นรีบยกมือไหว้กลับทันทีด้วยสีหน้าที่สุขใจอย่างเห็นได้ชัด
เธอยิ้มกว้างสดใสแถมยังพนมมือค้างไว้เมื่อผู้เขียนเข็นรถ trolley เดินจากมาอีกด้วย
ประสบการณ์นี้ทำให้มีผู้มีความสุขถึงสองคน
คือเจ้าหน้าที่ท่านนั้น และผู้เขียนเอง
เมื่อนึกย้อนกลับไปผู้เขียนคิดว่าประสบการณ์การพูดคุยแลกเปลี่ยนดี ๆ
นี้คงไม่เกิดขึ้นถ้าผู้เขียนไม่ได้ยกมือไหว้ สบตา
พร้อมกับยิ้มให้เจ้าหน้าที่ท่านนั้นอย่างจริงใจก่อนตั้งแต่แรก
เธอคงสัมผัสได้แน่นอนว่าผู้เขียนไหว้เธอด้วยความจริงใจจริง ๆ
เพราะเห็นคุณค่าของงานที่เธอทำ
และเป็นการขอบคุณล่วงหน้าสำหรับความช่วยเหลือที่เธอจะมอบให้ด้วย
พูดง่าย ๆ ก็คือเธอสัมผัสได้นั่นเองว่าผู้เขียน “มาดี” และมอบความเป็นมิตรให้
การไหว้เป็นวัฒนธรรมอันงดงามของไทยที่สามารถสร้างสิ่งมหัศจรรย์ได้หลายอย่าง
สร้างความอบอุ่นให้กับการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
แต่มีข้อแม้ว่าคุณต้องไหว้อย่างนอบน้อมด้วยความจริงใจจริง ๆ
ไม่ใช่เป็นเพียงกิริยา
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้เขียนได้ประสบการณ์ดี ๆ
จากการไหว้ผู้ที่จะให้บริการเราก่อน
ถ้าไม่เชื่อลองไปทำธุรกรรมที่ธนาคารใกล้ ๆ คุณแล้วชิงไหว้เจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์ด้วยรอยยิ้มก่อนก็ได้
การไหว้ของคุณอาจช่วยพลิกจิตของพนักงานธนาคารที่กำลังเหนื่อยล้าคนหนึ่งให้มีความสุขขึ้นมาได้ ผู้เขียนรับประกันว่าเจ้าหน้าที่ธนาคารท่านนั้นจะไหว้คุณและยิ้มตอบกลับมาอย่างสดชื่นกว่าปกติทีเดียว
ใครจะรู้
นั่นอาจจะเป็นความประทับใจหนึ่งเดียวที่เธอได้รับจากการทำงานในวันนั้น
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยทรงมีพระราชกระแสรับสั่งว่า
ที่ประเทศไทยอยู่รอดปลอดภัยมาทุกวันนี้ได้ก็เพราะคนไทยยัง “ให้” กันอยู่
เรามา “ให้ความรู้สึกดี ๆ” กับผู้อื่นด้วยการไหว้อย่างจริงใจพร้อมรอยยิ้มกัน ไม่แน่ว่านั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งดี ๆ
บางอย่างที่มหัศจรรย์เกินที่คุณจะคาดคิดก็ได้
-------------------------------------------------------------------
เชิญสนับสนุนหนังสือ
“ออกกำลังใจ” ของดร.ณัชรได้ที่นี่ http://goo.gl/V2NIMn
-------------------------------------------------------------------
------------------------------------------------------------------
สนใจฝึกเจริญสติคลิกที่นี่ http://goo.gl/ALKOvv
-------------------------------------------------------------------
เพื่อไม่ให้พลาดโพสต์ดี
ๆ จากทางเพจ
1. ใส่อีเมล์ของท่านในช่อง “Follow by
Email รับการแจ้งโพสต์ใหม่ในอีเมล์ของคุณ” ในช่องท้ายบทความและกด
“submit”
2. สำหรับ Facebook กรุณากด Get Notification (“รับการแจ้งเตือน”)
ใต้ปุ่ม Like (“ถูกใจ”) ที่หน้าเพจ
“ดร ณัชร” ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์
3. Add LINE ID @dr.nash (ต้องมีเครื่องหมาย @ นำหน้าคำว่า dr.nash)
-------------------------------------------------------------------
Credit ภาพ pantip
Credit ภาพ pantip
Labels:
ความดี,
ความสุข,
คำแนะนำ,
ธรรมะ,
พระพุทธศาสนา,
พัฒนาตนเอง,
โอกาส
Thursday, February 18, 2016
ความหมายดี ๆ ที่ซ่อนไว้
ตรามูลนิธิชัยพัฒนา
ผู้เขียนเข้าเยี่ยมคารวะและสัมภาษณ์ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา
ซีรี่ส์ “เรื่องดี
ๆ จากดร.ณัชร” เรื่องที่ 94
เมื่อวานนี้ผู้เขียนได้มีโอกาสไปเข้าเยี่ยมคารวะและสัมภาษณ์ดร.สุเมธ
ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา เพื่อเก็บข้อมูลสำหรับหนังสือเล่มต่อ ๆ
ไปของผู้เขียน และได้รับฟังเรื่องซาบซึ้งใจเกี่ยวกับตราของมูลนิธิฯ
จึงขอนำมาฝากท่านผู้อ่านดังนี้
"มูลนิธิชัยพัฒนา" เป็นมูลนิธิที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจัดตั้งขึ้น
เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2531 โดยทรงดำรงตำแหน่งนายกกิตติมศักดิ์
และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นประธานบริหาร
ความหมายของชื่อมูลนิธิ
“ชัยพัฒนา”
ทั้งชื่อและตราของมูลนิธิฯ
ได้ทรงออกแบบด้วยพระองค์เอง และพระราชทานคำอธิบายว่า
“...การแก้ไขปัญหาใดๆ
เปรียบเสมือนการทำสงคราม เพราะว่าปัญหาต่างๆ เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาสังคม
ปัญหาความเป็นอยู่ของสังคม และปัญหาสิ่งแวดล้อม
เมื่อเกิดปัญหาต้องเข้ามาช่วยกันแก้ไข เหมือนกับการทำสงคราม...”
“...แต่เป็นการทำสงครามที่ไม่ต้องใช้อาวุธ
หากใช้ “กระบวนการพัฒนา” เข้ามาแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้หมดสิ้นไป
และผลสุดท้ายเหมือนกับการที่เราได้รับชัยชนะที่เกิดจากการพัฒนา...”
จึงได้พระราชทานชื่อว่า
“มูลนิธิชัยพัฒนา”
ความหมายของตรามูลนิธิ “ชัยพัฒนา”
ดร.สุเมธได้เล่าถึงความหมายของตราสัญลักษณ์ของมูลนิธิชัยพัฒนาว่า ประกอบด้วยของสูงทั้ง 4 ประการ
คือ
1. พระแสงขรรค์ชัยศรี เป็นหนึ่งในเครื่องราชกกุธภัณฑ์ของสมเด็จพระมหากษัตริย์ไทย มีความหมายถึง สงครามครั้งนี้คือการที่จะแก้ไขปัญหาของประชาชน พระองค์จะทรงเป็นผู้นำทัพด้วยพระองค์เอง
2. ธงกระบี่ธุช เป็นลักษณะแห่งชัยชนะในการต่อสู้และเป็นธงนำทัพ
มีความหมายแฝงว่าทรงต้องการให้พวกเราทุกคนเข้าร่วมในกองทัพเพื่อช่วยพระองค์ด้วย
3. ดอกบัว หมายถึง ความสงบร่มเย็น
ความเจริญงอกงามและความบริบูรณ์แห่งพืชพันธุ์ธัญญาหาร ที่นำไปสู่ความอยู่ดีกินดี
และความสงบสันติสุขของประชาชนโดยทั่วหน้ากัน
อีกทั้งแฝงความหมายถึงธรรมะด้วย
4. สังข์ หมายถึง ความร่มเย็นเป็นสุขและความอุดมสมบูรณ์
พระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขณะทรงเสด็จฯ เยี่ยมราษฎร
cr. ภาพ มูลนิธิชัยพัฒนา
การร่วม “ทัพแห่งการพัฒนา”
เป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคน
เมื่อดร.สุเมธได้เมตตาเล่าถึงความหมายของตรามูลนิธิชัยพัฒนานั้น ผู้เขียนรู้สึกซาบซึ้งวูบขึ้นมาทันที โดยเฉพาะประเด็น “จะทรงนำทัพเอง” และ “ทรงต้องการให้พวกเราทุกคนเข้าร่วมทัพด้วย”
ดร.สุเมธกล่าวว่า ในเชิงปฏิบัติ ไม่จำเป็นว่าทุกคนต้องเข้ามาช่วยที่มูลนิธิชัยพัฒนา แต่ทุก ๆ
คนล้วนมีศักยภาพที่จะช่วยพัฒนาได้ตามบทบาทหน้าที่การงานของตน
พวกเราทุกคนจึงควรถามตนเองว่าเราจะ “ร่วมทัพ”
ของพระองค์ท่านด้วยการลงมือทำสิ่งใดที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ
เพราะการช่วย “พ่อ” พัฒนานั้น จัดได้ว่าเป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคน
พระราชดำรัสที่ประทับใจที่สุด
ผู้เขียนถามดร.สุเมธว่า พระราชดำรัสใดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ท่านประทับใจจำได้ไม่ลืมมากที่สุด ดร.สุเมธตอบทันทีว่า "พระราชดำรัสแรกที่ตรัสกับผมเมื่อ 36 ปีที่แล้ว จำได้แม่นยำไม่ลืมเลย"
"ทำงานกับฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้ ฉันมีแต่ความสุขที่ร่วมกันในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่นเท่านั้น"
ถ้าพระองค์ตรัสกับพวกเราเช่นนั้น ผู้เขียนเชื่อว่าคุณผู้อ่านทุกท่านก็คงจำได้แม่นยำไม่ลืมเลือนไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใดเช่นกัน
มาร่วมกันทำงานพัฒนาถวายพ่อของเรากันค่ะ
พระราชดำรัสที่ประทับใจที่สุด
ผู้เขียนถามดร.สุเมธว่า พระราชดำรัสใดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ท่านประทับใจจำได้ไม่ลืมมากที่สุด ดร.สุเมธตอบทันทีว่า "พระราชดำรัสแรกที่ตรัสกับผมเมื่อ 36 ปีที่แล้ว จำได้แม่นยำไม่ลืมเลย"
"ทำงานกับฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้ ฉันมีแต่ความสุขที่ร่วมกันในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่นเท่านั้น"
ถ้าพระองค์ตรัสกับพวกเราเช่นนั้น ผู้เขียนเชื่อว่าคุณผู้อ่านทุกท่านก็คงจำได้แม่นยำไม่ลืมเลือนไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใดเช่นกัน
มาร่วมกันทำงานพัฒนาถวายพ่อของเรากันค่ะ
ทรงพระเจริญ!
-------------------------------------------------------------------
เชิญสนับสนุนหนังสือ
“ออกกำลังใจ” ของดร.ณัชรได้ที่นี่ http://goo.gl/V2NIMn
-------------------------------------------------------------------
------------------------------------------------------------------
สนใจฝึกเจริญสติคลิกที่นี่ http://goo.gl/ALKOvv
-------------------------------------------------------------------
เพื่อไม่ให้พลาดโพสต์ดี
ๆ จากทางเพจ
1. ใส่อีเมล์ของท่านในช่อง “Follow by
Email รับการแจ้งโพสต์ใหม่ในอีเมล์ของคุณ” ในช่องท้ายบทความและกด
“submit”
2. สำหรับ Facebook กรุณากด Get Notification (“รับการแจ้งเตือน”)
ใต้ปุ่ม Like (“ถูกใจ”) ที่หน้าเพจ
“ดร ณัชร” ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์
3. Add LINE ID @dr.nash (ต้องมีเครื่องหมาย @ นำหน้า)
-------------------------------------------------------------------
Credit ภาพตรามูลนิธิฯ mykomms
Credit ภาพตรามูลนิธิฯ mykomms
Labels:
ความดี,
ความสำเร็จ,
ความสุข,
ธรรมะ,
พระพุทธศาสนา,
พอเพียง,
รักในหลวง
Subscribe to:
Posts (Atom)