Sunday, January 31, 2016

เรียนธรรมะจากกรณีทันตแพทย์โกงแผ่นดิน


เราเรียนรู้และทำอะไรได้บ้างจากกรณีทันตแพทย์ผิดสัญญาการใช้ทุนและทำให้ผู้ค้ำประกันเดือดร้อน?

=สิ่งที่เรียนรู้ได้ชัดเจน=

กรณีนี้ทำให้เราเห็นภาพชัดถึงคำพูดของท่านพุทธทาสว่า “การศึกษาแบบโลกตะวันตกเป็นการศึกษาแบบหมาหางด้วน

ท่านพุทธทาสให้นิยามการศึกษาแบบหมาหางด้วนไว้ในหนังสือหลายเล่มว่า  เป็นการสอนตามก้นฝรั่งที่เพียงสอนให้มีวิชาทำมาหากินเลี้ยงชีพ  แต่ไม่ได้สอนการพัฒนาจิตใจให้เป็นมนุษย์ 

การพัฒนาจิตใจที่ท่านพุทธทาสพูดถึงนี้เรียกโดยย่อคือ “การเจริญสติ” หรือ วิปัสสนากรรมฐานนั่นเอง

=เรียนรู้ “ธรรมะ” ที่เกี่ยวข้องกับข่าว=

1. มีการผิดศีลข้อ 2  คือมีเจตนาที่จะ “ลักขโมยหรือฉ้อโกง”  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการโกงคนหมู่มาก คือโกงภาษีประชาชนที่ส่งไปเรียน   การโกงคนยิ่งจำนวนมากเท่าใดก็จะต้องรับวิบากกรรมหนักมากเท่านั้น

2. มีการผิดศีลข้อ 4 คือ มีเจตนาที่จะ “กล่าวคำเท็จให้ผู้อื่นเดือดร้อน”  โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เดือดร้อนคือมีพระคุณที่ช่วยเสียสละค้ำประกันให้ตนได้มีโอกาสไปเรียน  วิบากกรรมของการผิดศีลข้อ 4 มีมากมาย  แต่ที่เข้าใจง่ายที่สุดคือ  ย่อมโดนคนอื่นโกหกหลอกลวงกล่าวคำเท็จใส่ตนให้ตนเองเดือดร้อนเช่นกันในที่สุด

3. เป็นการกระทำที่เรียกว่า “อกตัญญู”   ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๗  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๙
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑   มีชาดกหนึ่งเรียกว่า “อกตัญญูชาดก”   พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า

“...ผู้ใดอันคนอื่นทำความดี ทำประโยชน์ให้ในกาลก่อนแต่ไม่รู้สึกคุณ เมื่อมีกิจเกิดขึ้นในภายหลัง ย่อมไม่ได้ผู้ช่วยเหลือ...”

อนึ่ง  การอกตัญญูในข่าวนี้ไม่เพียงแต่เป็นการอกตัญญูต่อผู้มีพระคุณที่เกี่ยวข้อง  แต่ยังอกตัญญูต่อแผ่นดินอีกด้วย  คนเช่นนี้ย่อมไม่ได้รับความเจริญในชีวิต

=ปล่อยให้เป็นไปตามกฎแห่งกรรม=

กรรมทำหน้าที่ของมันเสมอ  ไม่ช้าก็เร็ว   ไม่ว่าผู้ทำกรรมนั้นจะหลีกหนีไปที่ใด  จะไปเกิดใหม่อยู่ภพใดชาติใด  กรรมก็ย่อมตามไปจนเจอ  ดังพระพุทธภาษิตที่ว่า “นตฺถิ กมฺมสมํ พลํ  แรงใดเสมอด้วยแรงกรรม ไม่มี”

ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นต้องไปคิดอาฆาตมาดร้ายจองเวรจองกรรม สาปแช่งด่าทอทันตแพทย์ในข่าว  เพราะอย่างไรเสียเธอผู้นั้นต้องได้รับกรรมของเธอไปอย่างแน่นอน

=สิ่งที่ควรทำเพื่อตนเองและเพื่อสังคมไทย=

สิ่งที่เราทำได้ก็คือการน้อมนำมาสอนตนเองว่า  ถ้าเป็นเราเราจะไม่มีวันทำเช่นนั้นเด็ดขาด

เพราะผู้ที่จะประสบความสุขและความสำเร็จอย่างแท้จริงในชีวิต  คือผู้ที่ทำดีเท่านั้น

แต่ “สิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง” ก็คือ การช่วยกันรณรงค์ให้สังคมไทยเข้าใจเสียทีในความสำคัญของการบรรจุการเจริญสติเข้าไปในหลักสูตรการศึกษา  เพราะการเจริญสติเป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่พระพุทธองค์ตรัสรับรองว่าจะสร้างคุณธรรมให้เกิดขึ้นในใจคนได้เองอย่างแท้จริงโดยไม่ต้องไปท่องตำราที่ไหน

ซึ่งข้อนี้สามารถพิสูจน์ได้  เพราะใครก็ตามที่เคยไปเข้าคอร์สการเจริญสติตามหลักสติปัฏฐาน 4 อย่างน้อย 7 คืน 8 วันจะสัมผัสได้ด้วยตนเองว่า  คุณธรรมข้อแรก ๆ ที่จะเกิดขึ้นในใจของผู้ที่ฝึกอย่างถูกต้องก็คือความกตัญญู และความสำรวมระวังยิ่ง ๆ ขึ้นไปในศีล 5 นั่นเอง

หวังว่าสังคมไทยจะไม่ต้องมาเรียนธรรมะจากเหตุการณ์ทำนองนี้อีก
-------------------------------------------------------------------
เชิญสนับสนุนหนังสือ “ออกกำลังใจ” ของดร.ณัชรได้ที่นี่ http://goo.gl/V2NIMn
-------------------------------------------------------------------
สนใจฝึกเจริญสติคลิกที่นี่  http://goo.gl/ALKOvv 
-------------------------------------------------------------------
เพื่อไม่ให้พลาดโพสต์ดี ๆ จากทางเพจ

1. ใส่อีเมล์ของท่านในช่อง “Follow by Email รับการแจ้งโพสต์ใหม่ในอีเมล์ของคุณในช่องท้ายบทความและกด “submit”

2. สำหรับ Facebook กรุณากด Get Notification (“รับการแจ้งเตือน”) ใต้ปุ่ม Like (“ถูกใจ”) ที่หน้าเพจ “ดร ณัชร” ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์

3.  Add LINE ID @dr.nash (ต้องมีเครื่องหมาย @ นำหน้า)

-------------------------------------------------------------------
Cr ภาพ clker

Friday, January 29, 2016

แจ๊ค หม่า มีอะไรจะบอกคุณ



คลิกเพื่อรับชมสุนทรพจน์ความยาว 11 นาทีของ แจ็ค หม่า

อยากได้คำแนะนำจากมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของจีน?

ซีรี่ส์ “เรื่องดี ๆ จากดร.ณัชร” เรื่องที่ 88 วันนี้นำเสนอเรื่อง “แจ๊ค หม่า มีอะไรจะบอกคุณ

ผู้เขียนได้มีโอกาสฟังสุนทรพจน์ที่แจ๊ค หม่า ให้คำแนะนำเรื่องการสร้างอนาคตกับคนหนุ่มสาวชาวเกาหลี(ที่มี subtitle เป็นภาษาอินโดนีเซีย!) และเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับชาวไทยเราด้วย  จึงสรุปมาฝากคุณผู้อ่านดังนี้

สิ่งแรกที่คุณจะรู้สึกเมื่อได้ฟังแจ็ค หม่าพูดคือ สำเนียงภาษาอังกฤษของเขาดีมากสำหรับคนจีน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่เรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเอง! 

เขาพูดด้วยความมั่นใจและมีการเน้นคำ มีการหยุดเป็นระยะ ๆ เพื่อให้ผู้ฟังได้ซึมซับความสำคัญของสิ่งที่เขาพูด

แจ็ค หม่า เปิดสุนทรพจน์ด้วยการเล่าถึงประวัติตนเองสั้น ๆ  ว่าชีวิตเขาต้องต่อสู้อย่างมากเพราะพ่อเขาไม่ได้มีฐานะร่ำรวย  เขาสมัครเข้ามหาวิทยาลัยถึง 3 ครั้งก็โดนปฏิเสธโดยตลอด  ในที่สุดต้องไปเรียนในวิทยาลัยครูซึ่งจัดเป็นสถาบันอุดมศึกษาระดับ 3 หรือ 4 (เทียบเท่าเกรด C หรือ D) ของเมือง 

แต่เขาบอกว่าพอได้เรียนไปจริง ๆ แล้วกลับดีกว่าฮาร์วาร์ดที่ปฏิเสธเขาถึง 10 ครั้งเสียอีก!

สมัยที่เป็นครูเขาใช้ชีวิตธรรมดาและรู้สึกอึดอัดขัดข้องมากเพราะได้เงินเดือนเพียงเดือนละ 10 ดอลล่าร์  ซึ่งตรงนี้ผู้เขียนอ่านจากหนังสือชีวประวัติเขาและได้ทราบว่าเขาต้องไปเปิดโรงเรียนสอนพิเศษภาษาอังกฤษเพื่อหารายได้เสริม

แต่สิ่งหนึ่งที่แจ็ค หม่า เชื่อมั่นอยู่ลึก ๆ ในใจมาตลอดก็คือ “มีบางสิ่งบางอย่างที่ดีกว่านี้รอเขาอยู่ข้างหน้า”

เขาเล่าว่าเขาทำงานหนักเพื่อพิสูจน์ตนเองและไม่เคยคิดว่าตนเองฉลาด  ทุกคนคิดว่าเขาบ้าและทำอะไรที่แปลกแยกแตกต่างไปจากคนอื่น เช่น เขาเห็นโอกาสในสิ่งที่เรียกว่า อินเทอร์เน็ท มาตั้งแต่ปี 1994

เขากล่าวว่าเขาเพียงแต่อยากจะหางานดี ๆ แต่เขาก็หางานดี ๆ ไม่ได้ เขาจึงต้องสร้างงานขึ้นมาเอง!

10 ปีผ่านไปเมื่อเขาประสบความสำเร็จแล้วผู้คนก็ถามเขาว่า “คุณทำได้อย่างไร?  ทำไมคนอื่นไม่เห็นโอกาสเหมือนคุณ?”

เขาบอกว่าเขาเองก็เคยคิดอย่างนั้นกับบิล เกตส์ เมื่อ 20 ปีที่แล้ว  แต่ภายหลังเขาก็เริ่มเข้าใจ

แจ็ค หม่า บอกว่าเขาโชคดีที่ได้มีโอกาสรู้จักคนอย่างบิล เกตส์, วอร์เรน บัฟเฟตต์, ลารี่ เพจ, มาร์ค ซัคเคอร์เบอร์ค และ แจ็ค เวลช์ เป็นส่วนตัว  เพราะการที่ได้รู้จักคนเหล่านั้นทำให้เขาเข้าใจว่า...

“ข้อแตกต่างระหว่างคนเหล่านี้กับคนอื่น ๆ ก็คือ  พวกเขามักจะมองอนาคตในแง่ดีอยู่เสมอ  พวกเขาไม่เคยบ่นเลย

และสิ่งที่คนเหล่านั้นทำก็คือการ “พยายามแก้ปัญหาให้ผู้อื่น”

“แล้วโอกาสอยู่ที่ไหนล่ะ?”            “ก็อยู่ในเรื่องที่คนบ่นเยอะ ๆ ไงล่ะ  และนั่นคือสิ่งที่ผมทำ!

“ในช่วงปี 1994-1995 มีคนมากมายในจีนที่ต้องการส่งของไปขายยังต่างประเทศแต่ไม่มีโอกาสเพราะพวกเขาไม่มีเงินไปร่วมงานแสดงสินค้าต่างประเทศ  ขอวีซ่าไม่ได้ และไม่รู้จักคู่ค้าเลย  ผมเลยคิดว่าถ้าอินเทอร์เน็ทสามารถช่วยพวกเขาได้มันจะเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมากทีเดียว”

“และคุณต้องหาทีมที่เชื่อมั่นในความฝันของคุณอย่างสุดหัวใจเช่นกัน”

“ใน 3 ปีแรกเราไม่มีรายได้เลยแม้แต่ 1ดอลล่าร์  แต่ทำไมเรายังเดินหน้าต่อไป?  ก็เพราะว่าเราได้รับอีเมล์จำนวนมหาศาลที่ขอบคุณเราในสิ่งที่พวกเราทำลงไป  พวกเขาบอกว่า  วันหนึ่งคุณจะต้องประสบความสำเร็จด้วย”

“และผมก็เชื่อมั่นเช่นนั้น!”

“ตอนนี้พวกเราอยู่ในช่วงที่ดีที่สุดในศตวรรษ   ยุคเครื่องจักรไอน้ำมีช่วงรุ่งเรืองอยู่ 50 ปี  ต่อด้วยยุคของไฟฟ้าอีก 50 ปี  ช่วง 20 ปีที่ผ่านมาเป็นยุคของ Information Technology หรือ IT” 

“จากนี้ไปอีก 30 ปีจะเป็นยุคของ Data Technology  ซึ่งจะเป็นยุคของการแชร์ข้อมูล การรับผิดชอบ และการมีความหลงใหล (passion) ต่ออนาคต”

“สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ “จงอย่าบ่น”  ปล่อยให้คนอื่นบ่น  คนที่บ่นคือคนที่ล้มเหลว  อย่าบอกว่าฉันไม่มี หรือ ฉันทำไม่ได้  แต่ให้ถามตัวเองว่าเราจะทำสิ่งดี ๆ ขึ้นมาได้อย่างไร?”

“ใช้สมองของคุณคิดเอง  ตอนผมอายุยังน้อยผมเคยไปที่โรงแรมแห่งหนึ่งข้างทะเลสาบหางโจวทุกวันตอนตี 5 เพื่อหัดฝึกพูดภาษาอังกฤษกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่นั่น”

“สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากนักท่องเที่ยวต่างชาตินั้นมันช่างแตกต่างจากสิ่งที่พ่อแม่และครูเคยบอกผมอย่างสิ้นเชิง  และแตกต่างจากหนังสือพิมพ์ที่ผมเคยอ่านมาด้วย”

“จากนั้นเป็นต้นมาผมก็เริ่มใช้สมองของผมเองคิดเอง  ผมเริ่มตั้งคำถามว่า  “เรื่องมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ หรือ?  เราจะทำให้มันดีขึ้นกว่านี้ได้อย่างไรบ้าง?”

“ผมเห็นคนหนุ่มสาวเยอะแยะไปที่มีไอเดียเจ๋ง ๆ มากมาย  แต่พอเช้าวันรุ่งขึ้นพวกเขาก็กลับเข้าไปทำงานที่ออฟฟิศเดิม ทำสิ่งเดิม ๆ”

“คุณ ต้อง-ลง-มือ-ทำ  คุณต้องทำอะไรสักอย่าง  คุณต้องมุ่งมั่นทำงานอย่างหนักด้วย  เพื่อตัวเองและเพื่อสังคม”

“คุณต้องตั้งเป้าที่จะช่วยสังคม  เพราะต่อเมื่อคนอื่น ๆ ในสังคมประสบความสำเร็จและมีความสุขเท่านั้นตัวคุณเองถึงจะประสบความสำเร็จและมีความสุขได้!

สรุป      1) มองโลกในแง่ดีและมีความเชื่อมั่น  2)  เมื่อหางานไม่ได้ก็สร้างงานขึ้นมาเอง  3) จงอย่าบ่น  4)  จงแก้ปัญหาให้ผู้อื่น   5) ถามตัวเองว่าจะทำสิ่งดี ๆ ที่แตกต่างขึ้นมาได้อย่างไร   6)  จงลงมือทำ  อย่าเอาแต่คิด   7) จงทุ่มเททำงานอย่างหนัก   8) จงตั้งเป้าที่จะช่วยสังคม
-------------------------------------------------------------------
เชิญสนับสนุนหนังสือ “ออกกำลังใจ” ของดร.ณัชรได้ที่นี่ http://goo.gl/V2NIMn
-------------------------------------------------------------------
สนใจฝึกเจริญสติคลิกที่นี่  http://goo.gl/ALKOvv 
-------------------------------------------------------------------
เพื่อไม่ให้พลาดโพสต์ดี ๆ จากทางเพจ

1. ใส่อีเมล์ของท่านในช่อง “Follow by Email รับการแจ้งโพสต์ใหม่ในอีเมล์ของคุณในช่องท้ายบทความและกด “submit” (ทำรายการนี้ได้เฉพาะตอนที่ท่านเข้าชมเพจผ่านจอคอมพิวเตอร์และ Tablet เท่านั้น)

2. สำหรับ Facebook กรุณากด Get Notification (“รับการแจ้งเตือน”) ใต้ปุ่ม Like (“ถูกใจ”) ที่หน้าเพจ “ดร ณัชร” ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือ Tablet

3.  Add LINE ID @dr.nash (ต้องมีเครื่องหมาย @ นำหน้า)

-------------------------------------------------------------------
Cr ภาพ Youtube

Tuesday, January 26, 2016

ท่าทีที่ชาวพุทธควรมีต่อกรณีลูกเทพ



“...รู้สึกเซ็ง หงุดหงิด กับกระแสลูกเทพ ทำอย่างไรดี...”

ซีรี่ส์ “เรื่องดี ๆ จากดร.ณัชร” เรื่องที่ 87 วันนี้ขอนำเสนอเรื่อง “ท่าทีที่ชาวพุทธควรมีต่อกรณีลูกเทพ

คุณผู้อ่านหลายท่านบ่นกับผู้เขียนเรื่องกระแสลูกเทพ  โดยเฉพาะเมื่อมีการโยงลูกเทพเข้ากับพระพุทธศาสนา  มีการนำไปให้วัดปลุกเสกให้ ฯลฯ 

การรู้สึกเซ็ง หงุดหงิด จิตตก นั้นไม่เป็นผลดีต่อตัวเราเอง  ผู้เขียนจึงคิดใหม่ว่า  “เราจะใช้วิกฤตินี้หมุนจิตให้เป็นกุศลได้อย่างไร?”  หรืออย่างน้อย ๆ ก็ใช้พลังบวกยกจิตออกจากวิกฤตินี้ให้ได้

1. น้อมใจดูตัวเอง  “อย่างน้อยก็ไม่ใช่เรา!

ท่าทีแรกคือรีบน้อมจิตเข้ามาดูตัวเองแล้วคิดว่า  อย่างน้อยเราก็ยังมีสัมมาทิฏฐิ มีความเข้าใจที่มั่นคงเที่ยงแท้ต่อคุณพระรัตนตรัยอย่างไม่คลอนแคลน  ไม่หลงไปบูชายึดถือสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง  ไม่หลงใหลในเดียรัจฉานวิชาที่จะขวางต่อมรรค ผล นิพพาน

จากนั้นให้นึกขอบคุณบุญกุศลที่เราเคยสร้างมาดีแล้วตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันวันนี้ที่ส่งให้เราแยกแยะพุทธแท้และพุทธเทียมออก

2.  เจริญมรณานุสสติ

วิธีนี้เป็นวิธีลัดสั้นที่สุดสำหรับการเรียกสติ  เพราะเมื่อเราตระหนักว่า “วันนี้อาจเป็นวันสุดท้ายของชีวิตเรา”  เราจะสามารถมองเห็นทันทีว่าสิ่งใดเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต  และสิ่งใดเป็นสิ่งที่ไร้แก่นสาร

เมื่อตระหนักว่าเวลาเราเหลือน้อย  เราย่อมจะอยากใช้เวลาที่เหลืออยู่สำหรับสิ่งสำคัญจริง ๆ เช่น การดูแลพ่อแม่ให้ดีที่สุด  การสร้างสิ่งที่ดีงามทิ้งไว้ให้โลก  และการสร้างกุศลให้ถึงพร้อมทั้งทาน ศีล และภาวนา

ถ้าเราจะตายวันนี้  เราคงไม่อยากจะคิดเรื่อง “ลูกเทพ” ให้เสียเวลาต่อไปอีกแน่!

3.  เตือนตนเองให้เร่งภาวนาเพราะศาสนาเสื่อมลงทุกวัน

นี่คือการหมุนวิกฤติให้เป็นโอกาสที่แท้จริง  ทุกครั้งที่เราเห็นความเสื่อมลงของพระพุทธศาสนา นั่นเป็นสัญญาณอันตรายเตือนให้เราเร่งความเพียรฝึกเจริญสติภาวนากับครูบาอาจารย์ผู้มีความเชี่ยวชาญ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

เพราะเมื่อศาสนาเสื่อมลงเรื่อย ๆ สังคมก็ย่อมเสื่อมลงเรื่อย ๆ  เพียงคิดว่าจะต้องกลับมาเกิดใหม่ในสังคมที่เสื่อมลงไปเรื่อย ๆ เราก็จะยิ่งอยากรีบภาวนาให้หลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้ไปอย่างถาวรแน่นอน

4.  ถ้าต้องเผชิญหน้าในระยะประชิดให้แผ่เมตตา

ถ้าต้องเผชิญหน้าผู้อุ้มตุ๊กตาลูกเทพในระยะประชิด เช่น บน BTS  ในร้านอาหาร  หรือในเครื่องบิน ให้รีบแผ่เมตตา  ก่อนอื่นให้แผ่ให้ตนเอง  จากนั้นให้แผ่ให้ทุก ๆ คน เช่น ผู้โดยสารทุกคน  ผู้ที่อยู่ในบริเวณร้านอาหารนี้ทุกคน

ซึ่งแน่นอนว่าครอบคลุมไปถึงบรรดาผู้ที่อุ้มตุ๊กตาลูกเทพอยู่ด้วย

ถ้าคุณเคยเจริญเมตตาภาวนาอยู่แล้วเป็นประจำ  คุณก็คงจะตระหนักดีว่าทุกคนก็คือเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งสิ้น

คุณอาจจะลองแผ่เมตตาไปให้ผู้อุ้มตุ๊กตาลูกเทพโดยตรงก็ได้  ขอให้เขาเป็นสุขปราศจากทุกข์  และขอให้เขาได้มีโอกาสเข้าใจและเข้าถึงพระรัตนตรัย  และได้พบความสุขที่แท้โดยเร็วพลัน

แล้วจะแก้ปัญหาสังคมนี้ได้อย่างไร?

ปัญหาการเสื่อมลงของพระพุทธศาสนาในประเทศไทยในทุก ๆ ด้านเกิดขึ้นเพราะที่ผ่านมาสังคมไทยไม่ให้ความสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมทางพุทธิปัญญาที่เข้มแข็งพอ 

เห็นได้ชัดจากการที่ชาวพุทธไทยจำนวนน้อยมากเคยฝึกการเจริญสติตามหลักสติปัฏฐาน 4 จนเกิดปัญญาแยกแยะธรรมะที่แท้ของพระพุทธองค์ออกได้ด้วยตนเอง

ถ้าอยากจะเปลี่ยนสังคมก็ต้องเริ่มต้นจากตัวเราเอง 

ถ้าเราใช้ชีวิตที่นำด้วยสัมมาทิฏฐิ  สร้างกุศลทาน ศีล ภาวนาอย่างประกอบไปด้วยปัญญา  ทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดี  มีชีวิตที่มีคุณภาพ มีความสุข มีเมตตา ผู้อื่นเห็นเข้าก็ย่อมจะอยากขึ้นเดินบนทางสายมรรคเหมือนเราด้วย

พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นที่ “ใจ” ของพระพุทธเจ้าฉันใด  การจะรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้ก็ต้องใช้ “ใจ” ของพุทธศาสนิกชนฉันนั้น

วันนี้เราได้สร้างคุณภาพของ “ใจ” เราเองไว้เพียงพอที่จะรักษาพระพุทธศาสนาแล้วหรือยัง?
-------------------------------------------------------------------
เชิญสนับสนุนหนังสือ “ออกกำลังใจ” ของดร.ณัชรได้ที่นี่ http://goo.gl/V2NIMn
-------------------------------------------------------------------
สนใจฝึกเจริญสติคลิกที่นี่  http://goo.gl/ALKOvv 
-------------------------------------------------------------------
เพื่อไม่ให้พลาดโพสต์ดี ๆ จากทางเพจ

1. ใส่อีเมล์ของท่านในช่อง “Follow by Email รับการแจ้งโพสต์ใหม่ในอีเมล์ของคุณในช่องท้ายบทความและกด “submit”  (ทำได้เฉพาะการเข้าชมทางจอคอมพิวเตอร์เท่านั้น)

2. สำหรับ Facebook กรุณากด Get Notification (“รับการแจ้งเตือน”) ใต้ปุ่ม Like (“ถูกใจ”) ที่หน้าเพจ “ดร ณัชร” ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์

3.  Add LINE ID @dr.nash (ต้องมีเครื่องหมาย @ นำหน้า)
-------------------------------------------------------------------
Cr ภาพ matichon

Monday, January 25, 2016

สิ่งดี ๆ ที่เราเรียนรู้ได้จากคุณปอ





สิ่งดี ๆ ที่เราเรียนรู้ได้จากคุณปอมีอะไรบ้าง?


ซีรี่ส์ “เรื่องดี ๆ จากดร.ณัชร” เรื่องที่ 86 วันนี้ขอนำเสนอเรื่อง “เรียนรู้จากคุณปอ”

ใคร ๆ ก็รู้สึกสะทกสะท้อนใจกับข่าวการจากไปของคุณปอ ทฤษฎี สหวงษ์ แต่ผู้เขียนคิดว่าเจ้าตัวคงจะดีใจกว่าแน่ถ้าพวกเราได้ใช้โอกาสนี้เรียนรู้สิ่งดี ๆ จากชีวิตของเขาด้วย

ผู้เขียนได้รู้จักคุณปอครั้งแรกเมื่อไปดูละครเฉลิมพระเกียรติ “พระมหาชนก” ที่สร้างขึ้นจากพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ละครเรื่องนี้ได้เชื่อมโยงเรื่องราวของพระมหาชนกเข้ากับพระกรณียกิจเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงและการเกษตรที่ยั่งยืน ตลอดถึงการทรงด้วยทศพิธราชธรรมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน

ตัวละครเอก คือ คุณปอ ต้องเล่นอย่างทุ่มเทมาก บางฉากต้องลงไปว่ายน้ำในทะเลสาบจริง ๆ

เมื่อละครจบ เขาและผู้แสดงนำอื่น ๆ ก็นั่งเรือเล็กข้ามมาจากฝั่งเวทีกลางน้ำเพื่อขึ้นมาทักทายกับผู้ชม เดินผ่านไปในแถวที่นั่งต่าง ๆ

สิ่งที่ผู้เขียนได้เห็นอย่างใกล้ชิดคือชายหนุ่มหน้าตาดีรูปร่างสูงใหญ่ดูสง่าเดินมายกมือไหว้ขอบคุณผู้ชมด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส หยุดให้ทุกคนได้ถ่ายรูปด้วยอย่างจุใจ และไม่มีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยเลยแม้จะเพิ่งเล่นละครที่ต้องทั้งร้อง เล่น เต้น กระโดด และว่ายน้ำมาเป็นเวลาหลายชั่วโมง

ผู้เขียนเห็นแต่ความภาคภูมิใจ ความปลื้มใจ และความสุขบนสีหน้าของคุณปอ

เมื่อคุณปอเข้าโรงพยาบาลและมีผู้นำประวัติชีวิตเขามาเขียนถึงกันอย่างแพร่หลายผู้เขียนจึงเข้าใจมากขึ้นว่ารอยยิ้มที่ปลาบปลื้มและภาคภูมิใจของคุณปอวันนั้นมีที่มาอย่างไร

คุณปอ ทฤษฎี รักในหลวงอย่างสุดหัวใจ เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า “...ในหลวงเป็นต้นแบบเรื่องการทำงานหนักครับ ในหลวงทำงานหนัก นี่คือสิ่งที่ผมยึดถือเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ไม่ท้อที่จะทำ...”

ที่สำคัญคุณปอได้นำหลักเศรษฐกิจพอเพียงและการเกษตรที่ยั่งยืนของพระองค์ท่านไปลงมือทำจริง ๆ ด้วยการทำที่เก็บน้ำและการเกษตรอินทรีย์ในที่นาของเขา

นอกจากนี้ยังมอบที่ดินจำนวนไม่น้อยให้ชาวบ้านจำนวน 200 คนแถวบ้านเกิดเขาได้ใช้เป็นที่ทำกินฟรี ๆ โดยไม่คิดเงินใด ๆ และทุกครั้งที่กลับไปเยี่ยมบ้านเขาก็ยังนำเสื้อผ้า สิ่งของ เครื่องใช้ต่าง ๆ ไปมอบให้เกษตรกรเหล่านั้นด้วย

“มันคือการให้โอกาสคนครับ ถ้าเก็บไว้ทำเองมันคงไม่ได้อะไรเยอะหรอกครับ แบ่ง ๆ กันทำ แบ่ง ๆ กันกินจะได้อยู่กันอย่างมีความสุขครับ” คุณปอเคยให้สัมภาษณ์ไว้

การให้ “โอกาส” กับผู้คนของคุณปอนั้นรวมถึงการให้ "โอกาสต่อชีวิต" ด้วย เขาได้แสดงเจตนารมณ์ตั้งแต่ก่อนป่วยว่าจะบริจาคอวัยวะให้กับสภากาชาดเพื่อต่อชีวิตผู้อื่น ล่าสุดทีมแพทย์รามาฯ ได้เขียนบันทึกว่าคุณปอได้ยินยอมให้ผ่าร่างตนเองเมื่อจากไปแล้วเพื่อการเรียนรู้และยกย่องว่าคุณปอเปรียบเป็น “ครูแพทย์” ท่านหนึ่ง

มีนิตยสารฉบับหนึ่งได้สัมภาษณ์คุณปอเอาไว้เนื่องในวันพ่อเมื่อหลายปีที่แล้วว่าเขาสนิทกับคุณพ่อของเขาไหม เขาตอบว่าครอบครัวเขาสนิทกันทั้งบ้าน ผู้เขียนคิดว่าครอบครัวที่อบอุ่นนี้เองมีส่วนมากในการสรรสร้างบุคคลคุณภาพอย่างคุณปอขึ้นมาในสังคมไทยเรา

เมื่อมีข่าวว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษแก่คุณปอ แม้ผู้เขียนจะไม่ใช่ญาติมิตรของครอบครัวคุณปอก็อดน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณไม่ได้

“พ่อ...มองเห็นพวกเราเสมอ...”

ทันทีที่ได้ข่าวนั้น คำฉันท์บทหนึ่งก็วาบขึ้นมาในใจ

“...พฤษภาสร อีกกุญชรอันปลดปลง
โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี
นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์
สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา...”

ขอระลึกถึงการจากไปของคุณปอ ทฤษฎี สหวงษ์ ขอให้เรื่องราวของชีวิตคุณเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่เป็นพ่อแม่เพียรรักษาครอบครัวไว้ให้อบอุ่น และสอนลูกให้เติบโตเป็นคนดีมีคุณภาพ เป็น “ผู้ให้” แก่สังคมจนถึงวาระสุดท้ายเช่นนี้

และขอให้คนไทยเรียนรู้ที่จะยึดในหลวงเป็นแบบอย่างในการทำงานอย่างแท้จริงเหมือนคุณปอ

ถ้าเป็นเช่นนั้นได้ การจากไปของคุณปอก็นับว่าไม่สูญเปล่าแล้ว!

Cr ภาพ welovethaiking.com