Credit ภาพ dailybackgrounds
คุณผู้อ่านคงเคยได้ยินคำว่า EQ (Emotional Quotient) หรือ ความฉลาดทางอารมณ์กันมาบ้างแล้ว
สัปดาห์หน้าผู้เขียนได้รับเชิญไปบรรยายเรื่อง
“สติกับการพัฒนา EQ” เลยคิดว่าจะนำเรื่องนี้มาฝากคุณผู้อ่านด้วย
=EQ มีประโยชน์อย่างไร?=
Daniel Goleman นักจิตวิทยาชื่อดังได้สรุปไว้ในหนังสือชื่อ Emotional
Intelligence (1995) ว่า EQ เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้เราดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขและเติมเต็ม
ที่น่าสนใจก็คือเขาบอกว่า EQ เป็นสิ่งที่สามารถใช้พยากรณ์ความสำเร็จในด้านการเรียน
การทำงาน และความสำเร็จในชีวิตโดยรวมได้ดีกว่า IQ ถึง 4 เท่า!
และที่สำคัญที่สุด Goleman กล่าวว่า EQ เป็นสิ่งที่สามารถฝึกกันได้!
แต่จะฝึกอย่างไรล่ะ? ก่อนอื่นต้องมาดูกันว่า
สภาวะที่เรียกว่า EQ นั้นเป็นอย่างไร
=EQ คืออะไร?=
EQ หรือบางทีก็เรียกว่า EI (Emotional
Intelligence) คือ ความสามารถของบุคคลที่จะ
1) ตระหนักรู้ในความคิด ความรู้สึก และภาวะอารมณ์ต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้นกับตนเองและผู้อื่นได้
2) ควบคุมอารมณ์ของตน
3) เข้าใจความคิดและมีพฤติกรรมที่สมเหตุสมผล สอดคล้องกับการทำงาน
และการดำเนินชีวิต
4) มีสัมพันธภาพที่ดีกับบุคคลอื่น ๆ
ในมุมมองของผู้เขียน ข้อ 1 นั้นเกิดขึ้นได้จากการ
“ฝึกเจริญสติ” ให้รู้เท่าทันสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่เฉพาะแต่ทางใจ แต่รวมถึงทางกายด้วย
ซึ่งนับว่าลึกซึ้งกว่าเพราะความจริงแล้วกายกับใจนั้นเกี่ยวโยงกันอยู่
ส่วนข้อ 2-4 นั้นก็คือ “ผลของการนำการเจริญสติมาใช้ในชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่อง”
นั่นเอง!
=การเจริญสติช่วยพัฒนา EQ ได้อย่างไร?=
การเจริญสติตามหลักสติปัฏฐาน 4 คือ การฝึก “ความตระหนักรู้”
ในสิ่งที่เกิดขึ้นกับกายและใจของเราใน “ปัจจุบันขณะ”
เมื่อเรา “รู้เท่าทัน” อารมณ์ ความคิด ความรู้สึกต่าง ๆ ได้ทันท่วงทีแล้ว เราก็ย่อมมีแนวโน้มที่จะ “ควบคุมอารมณ์ตนเองได้”
เป็นธรรมดา มาดูตัวอย่างกัน
=การรู้เท่าทันและควบคุมอารมณ์โกรธ=
ก่อนฝึกสติเราอาจจจะได้ยินคนพูดอะไรไม่ดีใส่แล้วโกรธปรี๊ดขึ้นทันที แต่ถ้าฝึกสติเป็นประจำแล้วเราจะรู้เท่าทันกระบวนการที่จะนำไปสู่ความโกรธนั้นตั้งแต่
“(ได้)ยินหนอ” --> “คิดหนอ” --> “โกรธหนอ”
ถ้าสติคมชัดจริง ๆ เราจะสามารถกำหนดรู้แล้วปล่อยวางให้ดับไปได้ตั้งแต่ “ยินหนอ”
คือจะไม่เข้าไปปรุงแต่งเป็นความคิดความรู้สึกว่าชอบหรือชัง สักแต่ว่าได้ยินเสียงดังขึ้นแล้วก็ดับลงไป จบอยู่ตรงนั้น ใจไม่กระเพื่อม
แต่ต่อให้เสียงพูดที่ได้ยินมันไหลเข้าไปในใจจนโกรธขึ้นมาแล้ว การกำหนดว่า “โกรธหนอ ๆ ๆ” ก็คือการเข้าไปรู้เท่าทันว่า
“อาการโกรธได้เกิดขึ้นและดับไปทีละขณะจิตแล้วล่ะหนอ” ใจที่รับรู้อาการ “เกิด-ดับ”
ของความโกรธได้ตามความเป็นจริงจะปล่อยวางได้เร็วขึ้นกว่าใจที่ไม่เคยฝึกสติ
หมายความว่า คนที่เคยโกรธหนักโกรธนานก็จะหายเร็วขึ้น และดีกรีความโกรธก็จะเบาบางลงนั่นเอง
=เก้าอี้ดนตรี=
ใจมนุษย์นั้นรับรู้ได้เพียงทีละ 1 อย่าง
เหมือนเล่นเก้าอี้ดนตรีที่มีเก้าอี้อยู่ตัวเดียวแล้วมีสติกับความโลภ โกรธ
หลงผลัดกันชิงเข้าไปนั่ง
ตราบใดที่เราส่ง “สติ” เข้าไป “ชิงแท่นจิต” คือ นั่งเก้าอี้ได้ทันก่อน กิเลสต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโลภ โกรธ หลง
ก็เข้าแทรกไม่ได้
ฟังเหมือนจะง่าย
แต่กว่าจะฝึกให้พอทำได้และสามารถนำกลับมาใช้ในชีวิตประจำวันอย่างได้ผลระดับหนึ่งนั้นต้องอาศัยการฝึกต่อเนื่องในครั้งแรกถึง
7 คืน 8 วัน!
=แบบสอบถามเพื่อประเมิน EQ ตนเอง=
คลิก ที่นี่ เพื่อทำแบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์ ที่ได้รับการรับรองโดยกรมสุขภาพจิต
ถ้าผลออกมาดีผู้เขียนก็ขออนุโมทนาด้วย
แต่ถ้ายังไม่พอใจผลที่ออกมานักก็ลองวางแผนไปฝึกการเจริญสติปัฏฐาน 4
กับครูบาอาจารย์ที่เชี่ยวชาญดู ถ้ายังไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดีก็มากับผู้เขียนได้
ที่นี่
พระพุทธองค์เองตรัสรับรองว่าการเจริญสติเป็นหนทางเดียวที่จะนำไปสู่ปัญญาขั้นสูงสุดและการดับทุกข์ทั้งปวง
ทั้งทางกาย และทางใจ ได้อย่างสิ้นเชิง
อย่าว่าแต่ EQ เลย
แม้แต่พระนิพพานก็ยังไปถึงได้!
-------------------------------------------------------------------
เชิญสนับสนุนหนังสือ
“ออกกำลังใจ” ของดร.ณัชรได้ที่นี่ http://goo.gl/V2NIMn
-------------------------------------------------------------------
------------------------------------------------------------------
เพื่อไม่ให้พลาดโพสต์ดี
ๆ จากทางเพจ
1. ใส่อีเมล์ของท่านในช่อง “Follow by
Email รับการแจ้งโพสต์ใหม่ในอีเมล์ของคุณ” ในช่องท้ายบทความและกด
“submit”
2. สำหรับ Facebook กรุณากด Get Notification (“รับการแจ้งเตือน”)
ใต้ปุ่ม Like (“ถูกใจ”) ที่หน้าเพจ
“ดร ณัชร” ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์
3. Add LINE ID @dr.nash (ต้องมีเครื่องหมาย @ นำหน้า)
-------------------------------------------------------------------
No comments:
Post a Comment